วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ลองเปลี่ยนจาก iPhone XS MAX ไปเป็น Samsung Galaxy Note 9 ผมเจออะไรบ้าง...มาดูกัน

https://www.techmoblog.com/iphone-xs-max-vs-samsung-galaxy-note-9-speed-test-comparison/


และแล้วก็ได้ฤกษ์ย้าย Line เป็นแอปสุดท้ายจาก iOS (XS Max) to Anroid(Note9) เป็นที่เรียบร้อย...ต่อไปอย่ามาว่าเป็นสาวก apple อีกนะ (อย่างอื่นของ Apple ยังอยู่ครบ) 555+

จากที่ได้ใช้ Note9 มาหลายวันมากก่อนที่จะตัดสินใจย้ายอย่างเป็นทางการ สรุปส่วนตัวได้ดังนี้ (Note9 vs XS-Max)

1. ภาพหน้าจอ iPhone สีดูเป็นธรรมชาติกว่า ส่วน Note9 จะสดๆ สวยคนละแบบ แต่ Note9 มีฟีเจอร์ Always On ซึ่งทำให้ไม่ต้องปิดหน้าจอ มีนาฬิกาแสดงอยู่ตลอดเวลาได้ ก็ไม่ได้กินแบตเท่าไหร่ นอกนั้นก็มีฟีเจอร์คล้ายกันคือตั้งได้เหมือน iPhone ว่าจะให้เอียงโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อเปิดหน้าจอดูเวลา เตรียม unlock ...แต่ฟีเจอร์เคาะ ๆ หน้าจอ Note9 แล้วหน้าจอติดเนี่ย ไม่มีแล้วนะครัช สามารถใช้วิธีกดที่ปุ่ม Home ตำแหน่งตรงกลางล่างของเครื่องแรง ๆ ย้ำว่าแรง ๆ (เพราะจอ Note9 รับแรงกดได้หลายระดับ) จะเป็นการเปิดจอแทนการเคาะ ๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสะดวกกว่าไหม ส่วนตัวคิดว่า ok เพราะมีฟีเจอร์อื่นให้แล้ว

นอกนั้นรู้สึกว่าจอ Note9 แคบกว่า iPhone ชัดเจนมาก ยาวกว่าชัดเจน ยิ่งใส่เคสยิ่งยาวกว่า จอโค้งรู้สึกกังวลเรื่องการตกมากกว่า เพราะกระจก Note9 ได้ Gorilla v.5 ต่างจาก iPhone ที่ได้ Gorilla v.6 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าเท่าตัว พิสูจน์กันมาหมดละว่าตกไม่แตก ทนจริงอะไรจริง ไม่เหมือน Gorilla 5 ที่ยังแตกง่ายกว่าเยอะ

อีกสิ่งที่ตอนนี้ยังดีอยู่คือ หน้าจอ Note9 ยังไม่มีติ่งหูแบบ iPhone ทำให้รู้สึกสบายตาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเวลาเล่นเกม แต่เวอร์ชันหน้าได้ข่าวว่า Note10 น่าจะเจริญรอยราม S10 ซึ่งใช้จอ Infinity-O หรือจอเจาะรูได้ นึกจะเจาะตรงไหนก็เจาะ ก็อาจมีรูดำ ๆ มาให้รำคาญตาเหมือนมี Mega Dot Dead Pixel อยู่บนจอตลอดเวลา 555+ ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวคิดว่า มีขอบบางๆ แบบปัจุบันก็ไม่ได้แย่อะไร ทำไมต้องสุดขอบขนาดนั้นเลย แบบเจ้าอื่นทำชั้นต้องทำบ้าง จนล่าสุดมีทางแก้ให้แสดงผลได้เต็มจอที่หลากหลายทั้ง จอ slide แบบ Xiaomi Mi Mix3 หรือว่า กล้อง Popup เด้งขึ้นมาจากด้านบนไว้ถ่ายรูป ...อนาคตน่าจะมีมุกอื่นอีก แต่สิ่งที่ผมคิดว่าดีงามที่ Samsung ไม่น่าปล่อยให้ล้าหลังได้ (ซึ่งจะใส่มาใน S10 ละครับ) นั่นคือพวกระบบเสียงทั้ง Speaker และ ไมค์ ที่ไร้ลำโพงให้เห็น และการแสกนลายนิ้วมือบนหน้าจอจุดไหนก็ได้ แบบ Vivo หรือค่ายอื่นที่เปิดตัวกันไปซักพักใหญ่แล้ว (ส่วนกล้องกับเซ็นเซอร์อื่น ๆ ก็คงต้องหาที่ซ่อนกันต่อไป 555+ เพราะอย่างไรเสีย พวกมือถือขอบจอบาง ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีขอบ แต่มีแบบบางลงมาก เพราะถ้าไม่มีเลยเวลาตก หรือกระแทก คงตื่นเต้นน่าดูครับ)

(ไม่ใช่ Samsung งกนะ แต่ตอนเปิดตัว Note9 ตอนนั้น Gorilla v.6 ยังไม่เปิดตัว เลยไม่ได้ใช้ คิดว่ารอบการผลิตไม่ทันกัน นี่ก็อาจทำนายได้ขำขำว่า ปีต่อ ๆ ไป ถ้ากระจก Gorilla update เวลาเดิมทุกปี และ Note ออกเวลาเดิมทุกปีก็จะได้กระจกรุ่นห่วยกว่า iPhone ตลอดเวลาอยู่ 1 version 555+ คิดว่า Samsung ก็คงหาทางออกอยู่แหละ)

ส่วนเรื่องจอโค้งขอบมาก ๆ ผมไม่รู้สึกว่าจะมีความดีงามกว่าจอปกติแบบ iPhone ซึ่งก็มี curve ตรงขอบทุกด้านอยู่แล้ว แต่น้อยกว่า (รุ่นใหม่ ๆ มือถือตัวธงก็จอขอบโค้งหมดแล้วแต่ไม่มากเท่า Samsung) แต่กลับกัน ทำให้เกิดความรู้สึกกังวลว่า ถ้าดวงไม่ดี ตกไม่ถูก หรือกระแทกโดนโอกาสจอแตกมีสูงมาก (ก็มีคนมาโพสบอกในเว็บอยู่เนือง ๆ ซึ่งทั้งนั้นทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่ใช้กระจก Gollira รุ่นเก่ากว่า iPhone นั่นเอง) เป็นดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Samsung ทำให้คนซื้อมาทุกคนต้องถามเรื่องว่าจะติดฟิล์มกันรอยหน้าจอยี่ห้อไหนดี ซึ่งก็ต้องแบบกระจก เพราะแบบ TPU แบบเดิม ๆ เวลาเขียนด้วยปากกาแล้วหน้าบนฟิล์มจะเป็นรอยกว่าจะคืนตัวใช้เวลานานมาก ทำให้ฟิล์มกระจกขอบโค้งมีวิวัฒนาการอย่างรวดเร็วในหลายปีมานี้ (ทำให้คนขายร่ำรวยเพราะการที่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ) จนมาเป็นแบบกาว UV ที่ติดทน สัมผัสลื่น ไม่มีปัญหายิบย่อยแบบรุ่นกาวขอบแบบเดิมที่สัมผัสไม่ค่อยติดบ้างล่ะ ฝุนเข้า หรือขอบเผยอบ้างล่ะ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาค่าตัวที่แพงขึ้นมาก และก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่แตก แต่ก็มีหลายเคสที่ผมฟังมาจากคนใกล้ตัวที่ใช้ Samsung จอโค้งว่า เครื่องตกฟิล์มกระจกไม่แตก แต่จอข้างในแตก ซึ่งก็ได้ยินมาหลายคน ส่วนรุ่นกาวเต็มรุ่นใหม่นี่ก็ดีครับราคาต่างจากรุ่นกาว UV ไม่มาก แต่ทั้ง 2 แบบติดตั้งเองได้ยากมากครับ ไม่แนะนำ เพราะต้องมีความชำนาญ เท่านี้ยังไม่พอ ทำให้คนกลัวตกต้องไปซื้อเคสที่ทนถึกป้องกันได้จริงมาใส่ ก็ส่งผลให้ UAG ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า (เป็นเคสที่ไม่สวยเท่าไหร่และแพง

มากมาย) ผมเองก็โดนค่าเสียหายรุนแรงมากจากทั้งฟิล์มกระจก UV และเคส 555+ บางคนอาจบอกว่า Case iPhone แท้แพงกว่าตั้งเยอะ ผมก็เห็นด้วย แต่ก็มีเคสทางเลือกไม่แพงตั้งเยอะนี่่นา ที่สำคัญคือคนใช้ไม่ต้องรู้สึกกลัวกับจอแตกขนาดนี้ ผมเชื่อว่า Samsung จะยังคงทำจอโค้งไปเรื่อย ๆ เพราะเป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว ไม่ใช่ว่ามันดีงามมากมายขนาดนั้น

2. เสียงลำโพง เป็น stereo ด้วยกันทั้งสองรุ่น อันนี้ของบอกว่าหูใครก็หูใครครับ เทียบกันยาก แต่ปกติผมเป็นคนหูไวต่อความถี่สูง และไม่ชอบเสียงเบสจัด ๆ ลองเปิดเทียบกันที่เงียบ ๆ ก็พบว่า iPhone เสียงมีมิติดีกว่า และเบสตึบกว่า (ให้คนรอบตัวลองฟังก็สรุปได้ตรงกันว่าดีกว่าอย่างรู้สึกได้แต่ก็ไม่ได้มากมาย เรียกว่ายังอยู่ใน rank เดียวกัน แต่ถ้าอยู่ที่ดัง ๆ หน่อยก็อาจแยกแยะไม่ออก)

3. องค์ประกอบหลักอย่าง กล้อง ที่ไม่พูดถึงไมได้ ผมถ่ายสารพัดรูปในหลายองค์ประกอบแสง ก็พบว่า กล้อง iPhone XS Max ดีจริง แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกกรณี มีหลายกรณีมากที่ไม่รอดเลย แบบตายน้ำตื่นจริง ๆ เช่น ระหว่างรถวิ่งอยู่ถ่ายรูปพระอาทิตย์จะตกตอนเย็นสีส้มอ่อนก็ไม่รอดเห็นเป็นอมยิ้มแบบเพี้ยนอย่างแรง หรือน่าแปลกใจกว่านั้นคือ ในห้องประชุมผมถ่ายรูปวิทยากรและไสดล์บนเวที ซึ่งมีไฟสีฟ้าส่องไปทางด้านหลังเวทีบนฉากหลังแบบไม่ได้สว่างเท่าไหร่ (เป็นไฟ LED เส้นสีฟ้าที่แต่งไว้ที่ขอบเวทีด้านหน้า) แต่ภาพที่ได้สีเพี้ยนกระจายมากจนทำให้ผมตกใจ ว่าทำไมมันกากได้อีก ขนาดแสงไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเลย รีบหยิบ Note9 ขึ้นมาถ่าย ก็ปกติดี เป็นต้น ส่วนถ่ายรูปคนเน้นหน้าชัดหลังเบลอ หรือถ่ายไฟตอนมืด ๆ หน่อย iPhone นี่ถือว่าสวยกว่าอย่างชัดเจน มีความละมุน มีความมีมิติ ซึ่งก็แล้วแต่คนชอบ แต่ต่างจาก Note9 อย่างชัดเจนมาก คนละอารมณ์กันเลย (เวลาดูต้องมาเทียบกันในคอมนะครับ ไม่ได้เทียบในหน้าจอมือถือด้วยกัน ดูกันไม่รู้เรื่อง หรือจะเทียบก็ต้องส่งรูปสลับเครื่องกันเปิดเทียบกัน เช่นดูทั้ง 2 รูปเทียบกันบนหน้าจอ iPhone หรือ Note9 ด้วยกัน ถึงจะเห็นความแตกต่าง เรื่องกล้องนี่ผมก็ไม่ได้โปร วิจารณ์มากไม่ได้ นี่ก็เล่าจากประสบการณ์แบบการใช้งานทั่วไปแบบบ้าน ๆ เน้น mode Auto กดเป็นถ่าย แค่นั้นเลยครับ

สรุปเรื่องกล้องผมว่าสูสีกัน แต่ Note9 จะรอดในเกือบทุกสภาพแสง ส่วน iPhone จะไม่รอดในหลายกรณี ถ้ามีโอกาสไปลองถ่ายเทียบกันดูครับ แล้วจะแปลกใจ 555+

ปล. อาการกล้องยื่นจากตัวเครื่อง เป็นอะไรที่เหมือนกับการยอมรับโดยดุษฎีไปแล้วว่าปกติ อยากได้กล้องดี เลนส์ต้องดี องค์ประกอบเลนต้องมีหลายตัว ก็หนาขึ้นโดยปริยาย ตอนนี้ iPhone เป็นมือถือที่เลนส์กล้องยื่นมากที่สุดแล้วมั้งครับ (อันนี้ไม่แน่ใจ) เจ้าอื่นก็พยายามเก็บ ๆ ให้ยื่นน้อยที่สุด หรือทำขอบเพื่อกันกระแทกเลนส์ออกมาหน่อยแบบ Note9 นี่ก็ด้วย แต่ก็ถือว่ายื่นน้อยมากใส่เคสแบบบาง ๆ ได้อยู่ (สิ่งที่กินพื้นที่มากสุดในมือถือคือ แบตเตอรี่ เพราะยังลดขนาดลงไม่ได้ด้วยเทคโนโลยีที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน แต่อนาคตอันใกล้ คาดว่าจะมีแบตเตอรี่แบบใหม่ที่เล็กลงแต่จุได้เยอะขึ้น (ทำสำเร็จแล้วแต่ติดปัญหาเรื่องการผลิตจำนวนมาก และความคุ้มค่าทางอุตสาหกรรม))

4. สิ่งที่ด้อยกว่า iOS ยังไม่เจอที่มีนัยสำคัญเลย ทำได้ทุกอย่างเหมือนกันหมด แต่....มีสิ่งที่เหนือกว่ากันชัดเจนมากคือ....พระเอกตลอดการของ Note จะอะไรล่ะครับ ก็ Note Pen ไง ปากกาที่ทำได้หลายอย่าง นอกจากเขียนหน้าจอแล้วยังใช้เป็น Remote ได้ด้วย เช่น กดสั่งให้ถ่ายรูป เหมาะมาก เพราะไม่ต้องไปกดถ่ายรูปแบบตั้งเวลา เพราะกดถ่ายรัว ๆ ได้จากระยะไกล เช่นตั้งกล้องไว้ถ่ายรูปหมู่ เป็นต้น

และดีงามขึ้นเมื่อมีโหมดให้เขียนด่วนได้ คือยกมือถือขึ้นมา เสียเวลาแคะปากกาออกมา แล้วก็กดปุ่มครั้งนึง เขียนหน้าจอดำ ๆ ได้เลยทันที ถือว่าไวมากแล้ว ไว้จดอะไรด่วน ๆ ได้เป็นอย่างดี และสามารถเลื่อนหน้าในการจดได้มากกว่า 1 หน้า (คิดมารอบคอบดีมาก) แต่อย่าหาว่ายังงั้นยังงี้เลยนะครับ ผมใช้ iPad Pro 10.5"เขียนข้อความหรือบันทึกได้เมามันและจริงจังมาก แต่พอมาใช้ Note แล้วบอกได้เลยว่าเขียนบนหน้าจอ Note เนี่ย เรียกว่าเหมาะกับทำงานอะไรที่ไม่มาก เช่น จด Note ไม่เยอะ หรือดีงามสุดจะเป็นเรื่องของการ จับภาพหน้าจอมาเป็นรูปภาพ หรือเอารูปภาพจาก Gallery มาเขียนคำอธิบายใส่ไปในรูป เพื่อส่งต่อ ซึ่งเป็นฟีเจอร์เด็ดสำหรับพ่อค้าแม่ค้าทั่วราชอาณาจักรอย่างยิ่ง เพราะทำให้ชีวิตสะดวกขึ้นเยอะ

หรือจะเป็นเจ้านายตรวจงานแล้ว ถ่ายรูปปุ๊บ ก็วง ๆ เขียน ๆ คำอธิบายแล้วรีบส่ง Line หรืออีเมล ไปบอกลูกน้อง หรือลูกค้าได้เลยว่า ตรงไหนจะให้ทำยังไง แก้ไยังไง หรืออธิบายว่าอะไรบ้าง ตรงนี้เองที่ iPhone ทำไม่ได้ และไม่คิดว่าจะทำได้เลยไปอีกยาวนาน ส่วนจะใช้ iPad Pro มาทำงานก็ไม่สะดวกทั้งในด้านการพกพา หรือด้วยขนาดเครื่องที่ใหญ่ และการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งถ้าไม่ได้ใช้รุ่น Cellular ก็ต้องไปต่อกับ wifi จากมือถือ หรือจากระบบซักที่ก่อน แล้วถึงจะส่งข้อมูลออกไปได้

นอกจากนี้ยังมีแอปที่ติดมากับเครื่อง Note คือ แอป PENUP ซึ่งดีงามตรงที่เวลาเบื่อ ๆ เครียด ๆ เซ็ง ๆ หรือมีอารมณ์ติ๊ด ก็เปิดแอปขึ้นมาแล้วก็วาดรูปตามที่มันแนะนำ ทั้งมีให้ระบายสีรูปด้วย ซึ่งตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร และแอบคิดว่าดูไร้สาระ แต่พอได้ลองใช้จริงกลับพบว่า เออ..มันก็ดีนะ สนุกดี ทำให้เราหยุดคิดยึดติดกับอะไรบางอย่างแล้วมาพักสมอง ทำอะไรด้านศิลปะบ้าง ก็ช่วยให้สบายใจมากขึ้น สมาธิดีขึ้น ไม่ค่อยฟุ้ง แนะนำอย่างยิ่งตอนไปโกรธหรือไม่พอใจอะไรมา จะช่วยท่านได้มาก (บางทีถึงกับวาดรูปคนหรืองานที่ไม่โอเคแล้วก็ระบายในรูปได้ด้วย 555+ สะใจแล้วก็ลบทิ้งแบบขำขำ)

5. อีกสิ่งหนึ่งที่ iOS ไม่มีคือ Widget (แอปในรูปแบบย่อที่แสดงผลอยู่บนหน้าจอเลย ไม่ต้องเปิดแอปก่อนเพื่อใช้งาน) ซึ่งขอแยกพูดถึงต่างหาก เนื่องจากจะว่าไปไม่มีก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่ถ้ามีก็สะดวกขึ้นบ้าง ไม่ต้องเปิดโปรแกรมขึ้นมาเพื่อเช็คข้อมูล ซึ่ง Widget ที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง ก็เช่น Calendar, Mail หรือ Clock & Weather เป็นต้น ส่วนนี้คิดว่า iOS ไม่มีทางทำให้มี (แม้ว่าเรื่อง Widget นั้นมีมานานมากใน Apple Mac OS ก่อน Andorid จะจุติด้วยซ้ำ หรือจะอีกระบบที่ตายไปแล้วคือ Windows Phone OS ก็มีมานานมากแล้ว


6. นี่ก็อีกสิ่งหนึ่ง เป็นอย่างที่ 3 ละที่ iPhone ไม่มีคือ การใส่ได้ 2 Sim หรือเพิ่มเติมหน่วยความจำภายนอกได้ (จริง ๆ หลายเจ้าก็ไป 3 ถาดกันละครับ ที่ใส่ได้ 2 Sims + 1 Micro SD แยกต่างหาก อันนี้น่าผิดหวังมาก เพราะ Samsung เอง รุ่น A8 รุ่นถูกกว่ามาก ก็ยังทำได้เลยตั้งแต่ปีก่อน พอเป็นตัวธงทำไม่ได้ซะอย่างนั้น T_T ) หรือจะเป็นการตลาดที่ Samsung กลัวขายตัวความจุ 512GB ไม่ออก แบบต้องเลือกเอาว่าจะเลือก Sim หรือเลือก Sd-Card รู้สึกโดนเอาเปรียบอย่างแรง แบบเลือกปฏิบัติ 555+

ปัญหาเรื่อง sim นี่จริง ๆ ยุคนี้แล้วก็ควรเป็นแบบ e-sim กันหมดได้แล้วนะครับ แบบเข้าไปตั้งค่าเองในระบบออนไลน์แต่ละค่ายได้ (คนใช้ก็จะต้องมีความรู้หน่อย) แต่ sim แบบเดิมที่เป็นแผ่น ก็สะดวกตอนเปลี่ยนมือถือซึ่งทำได้เองแบบง่าย ๆ ไม่ต้องไปแจ้งศูนย์บริการ หรือไปทำในระบบอะไรให้วุ่นวาย อันนี้นานาจิตตังครับ ผมรู้สึกเฉย ๆ แบบไหนก็ดีหมดล่ะ

ปล. ส่วน iPhone XS Max จริง ๆ มี 2 Sims คือ ซิมจริง ๆ เป็นแผ่น + e-Sim เป็นซิมที่อยู่ในระบบเครื่อง ซึ่งจะผูกกับเครื่องไปเลยแบบเมืองนอก แต่ก็ย้ายเครื่องได้นะ (ซึ่งในไทยเปิดใช้บริการได้ทุกค่ายแล้วครับ อารมณ์เดียวกับ Apple Watch รุ่น Cellular) เว้นเวอร์ชันเมืองจีน ที่ถาด Sim ใส่ได้สองซิมหน้าหลังประกบกันทำให้ถาดยาวเท่าเดิม ประเทศอื่นอดนาจา และ Apple ไม่เคยมีนโยบายให้เพิ่มความจุหน่วยความจำภายในมือถือมาตั้งแต่รุ่นแรกแล้ว T_T

7. สิ่งที่ยังหลงเหลือ ที่ Apple เอาออกไปแล้ว คือ ตัวแสกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) ที่ย้ายตำแหน่งไปมา รุ่นนี้ย้ายมาอยู่ถูกที่แล้วก็ใช้งานง่ายขึ้น และยังมีระบบแสกนใบหน้าและดวงตา (Iris Scan) อยู่ครบ เรียกว่า Security ครบเครื่องเลย อยาก Unlock เครื่องแบบไหนเลือกได้หมด แต่....ชาวบ้านเค้าทำ sensor แสกนไว้ใต้จอได้แล้วปีนี้ Samsung ก็คงตามทันละ ส่วนปุ่มกดด้านข้าง พวกปุ่มเปิดปิด และเพิ่มลดระดับเสียง ก็มีบางเจ้ามีข่าวออกมาแล้วว่าจะเปลี่ยนไปใช้เป็นแบบสัมผัส ผมก็ว่าเท่ห์ดี แต่อาจมีปัญหากับการใส่เคส (แบบปุ่มกดผ่านเคสได้ง่าย) ถ้าสัมผัสเคสคงต้องเจาะรูไว้ให้ (บางเจ้าถึงกับออกแบบไม่ให้มีรูและปุ่มต่าง ๆ หลงเหลืออยู่เลย แบบเครื่องเนียนกริป ลองหากันดูครับปีนี้อาจจะมาให้เห็นแล้ว)

8. ปัญหาในการย้ายจาก iOS มา Android โดยเฉพาะ Note9 บอกเลยว่า อันนี้ Samsung สอบผ่าน เพราะมีโปรแกรม Switch App ของ Samsung เอง ที่แค่เสียบสายจาก iPhone (usb to lightning) มายัง Samsung โดยใช้ตัวแปลง (usb to usb type-c) ที่ Samsung แถมมาให้ในกล่อง ก็สามารถถ่ายโอนข้อมูลพื้นฐานมาจาก iPhone ได้พอสมควร ทั้งรูปภาพ contact account หลัก และอื่น ๆ รวมถึงมีความดีงามขนาดมีแนะนำ App เดียวกันที่มีบน App Store (iOS) ที่ลงไว้ในเครื่องของเรา ว่ามีอยู่บน Play Store (Android) ให้เราโหลดด้วย เพื่อจะได้ใช้แอปเดียวกันได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้รู้สึกว่าเป็นตัวช่วยที่ดีมาก ๆ รายละเอียดลองดูตามเว็บนี้ละกันครับ

https://www.samsung.com/au/support/mobile-devices/how-to-transfer-content-from-ios/

ส่วนบางแอปยอดฮิตเช่น Line Chat หรือ Whatsapp หรืออื่น ๆ ไม่ต้องพูดถึงย้ายข้าม Platform ไม่ได้จ้า แต่ก็มีแอปในเน็ตที่เคลมว่าทำได้ แต่ต้องเสียเงินซื้อแอปมาติดตั้งบนคอม PC/Mac ซึ่งราคาสูงอยู่ ก็หลักเกือบพันถึงหลายพัน ซึ่งผมคิดว่ายังไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่ (อย่าง iOS มีให้ Backup ก็อยู่บน iCloud เท่านั้น เอาออกมาไม่ได้) อันนี้เป็นปัญหาที่ผมเข้าใจว่าการที่ผู้ให้บริการแอปไม่ทำเพราะติดปัญหาหลายประการ ทั้งเรื่อง Policy และอื่น ๆ ซึ่งผมคิดว่าสำคัญและไม่สามารถมองข้ามได้ จึงกลายเป็นข้อจำกัดแบบนี้ คืออยากให้คนใช้มองในแง่อื่นบ้าง ไม่ใช่คิดแต่ว่าทุกอย่างต้องได้ ต้องง่ายไปหมดเป็นต้น บางอย่างอาจเป็นที่นโยบายฝั่ง Platform เองซึ่งแอปก็ทำอะไรไม่ได้ ทั้งที่อาจจะอยากทำให้ง่ายขึ้น เป็นต้น

มีสิ่งเดียวที่รู้สึกขัดใจเป็นที่สุดของที่สุดคือ Mail App ที่ทำไมหาทั่ว Play Store แล้วก็ไม่มีตัวไหนหน้าตาเหมือนใน mail ใน iOS เลย (ไม่รู้ติดลิขสิทธิ์ขนาดนั้นหรือไง ความเห็นส่วนตัวคิดว่าไม่น่าใช่) ปัญหาคือ ผมมีอีเมลหลาย account แล้วอยากให้มันแสดงสรุปทุก account ว่าชื่ออะไร และมีอีเมลใหม่เท่าไหร่ แต่ใน Android มันจะมีแค่ icon แต่ไม่มีชื่อ แล้วก็ไม่มีหน้า account list อยู่ด้วยกัน ผมจะต้องคลิกเลือกทีละ icon account เพื่อดูว่ามีอีเมลใหม่เท่าไหร่ ซึ่งรู้สึกรำคาญมากมาย (อันนี้ลองไป search google ก็มีหลายคนเป็นเหมือนกัน คืออยากได้แอปที่หน้าตาเหมือน iOS ซึ่งไม่เคยมีมาตั้งนานแล้ว จริง ๆ ผมเคยเจอแอปที่คล้ายแต่ก็เลิกทำไปนานแล้ว)

(นี่ก็จะแอบเซ็ง ๆ เรื่องการโยนไฟล์ไปมาที่ใช้ Airdrop ไม่ได้ละจากมือถือ ต้องไปใช้ผ่าน Google Drive แทนซึ่งก็ลำบากกว่าพอสมควร เพราะต้องมี Internet ตลอดเวลา เพราะต้อง upload ขึ้นไปบน Gdrive ก่อนแล้วค่อย download ลงมา วิธง่ายกว่านี้ก็มีลงแอปเพิ่มเครื่องคอมและมือถือ ใช้แทน Airdrop แต่รู้สึกวุ่นวาย เลยลองใช้แบบนี้ไปก่อนนะกัน)

9. เป็นปัญหาของผมเองที่มี Apple Watch (verion 1) ที่ยังไม่พังซักที ทนทานมาก แบตก็ปกติดีอยู่ ได้มาตั้งแต่วันแรกที่เปิดตัว คิดดูสิครับ กี่ปีแล้ว ของเค้าดีจริง (อุ๊ย ลืมตัว งานนี้มาขาย Samsung) ปัญหาคือ Apple Watch ไม่สามารถ Sync กับ Android ได้ (จะอัพเดท WatchOS ก็ไม่ได้ จะคุยกันก็ไม่ได้) ไม่เหมือนพวก Android Wear หรือ นาฬิกาของ Samsung เอง อันนี้ก็เข้าใจได้ในจักรวาลของ Apple ไม่มีมือถือยี่ห้ออื่นอาศัยอยู่ นอกจาก Accessories ประกอบ ซึ่งปัญหานี้ก็จะมีไปอีกยาว ๆ ถ้ายังใช้ Apple Watch ทางแก้ก็คือไปหายี่ห้ออื่นมาใช้แทน (ถ้าขาย iPhone ไปแล้วก็คงต้องขายตาม หรือบริจาคให้คนใกล้ตัว) 555+

ปล. ส่วนสิ่งที่ไม่ต้องพูดถึงแล้วสำหรับเรือธงคือ เรื่องความเร็วสารพัดด้าน ตั้งแต่ cpu-ram-wifi-4G-LTE... ไม่ได้ต่างกันเลยครับ รวมถึงความรู้สึกถึงความพรีเมียมทั้งวัสดุและการออกแบบอื่น ๆ สูสีกันหมดครับ